ความดันโลหิตผู้สูงอายุ ดูแลความดันให้สมดุล เพื่อสุขภาพที่ดี
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยตรงคือ “ความดันโลหิต” โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงและต่ำมากกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ การตรวจสอบค่าความดันปกติอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความดันโลหิตที่ผิดปกติอาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้กระทั่งการเกิดอาการวูบหมดสติได้
จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ประชากรไทยกว่า 30% ในกลุ่มผู้สูงอายุมีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ในทางกลับกัน ก็ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่เผชิญกับปัญหา ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งส่งผลให้รู้สึกเวียนหัว อ่อนเพลีย และเสี่ยงต่อการหกล้มบาดเจ็บได้ง่าย ดังนั้นการเรียนรู้เรื่อง “ความดันโลหิตปกติ” สำหรับผู้สูงอายุควรอยู่ที่เท่าไหร่ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะผิดปกติเหล่านี้
ค่าความดันโลหิตจะประกอบด้วยตัวเลขสองค่า
- ความดันตัวบน (Systolic Pressure) ซึ่งเป็นค่าความดันในหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว
- ความดันตัวล่าง (Diastolic Pressure) ซึ่งเป็นค่าความดันในหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
สำหรับผู้สูงอายุ ค่าความดันโลหิตปกติจะอยู่ที่ประมาณ 120/80 mmHg แต่ในบางกรณี การมีค่าความดัน 130/80 mmHg ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ ความดันโลหิตแต่ละช่วงวัยอาจมีเกณฑ์ที่ต่างกัน ทำให้การตรวจวัดอย่างถูกต้องและทำความเข้าใจค่าต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น
ไม่ว่าผู้สูงอายุจะเผชิญกับความดันโลหิตสูงหรือต่ำ การดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยปรับสมดุลความดัน และการออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ จะช่วยให้ค่าความดันโลหิตของพวกเขาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยมากขึ้น
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ ความดันโลหิตผู้สูงอายุ ตั้งแต่การอ่านค่าความดัน วิธีป้องกันภาวะความดันสูงและต่ำ รวมถึงเคล็ดลับที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลความดันโลหิตได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในทุกวัน
ความดันโลหิตคืออะไร? เข้าใจง่ายใน 5 นาที
“ความดันโลหิต” คือแรงดันที่เลือดไหลผ่านหลอดเลือดแดงจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย คิดง่ายๆ ว่าหัวใจทำหน้าที่เป็น “ปั๊ม” ที่สูบฉีดเลือด เมื่อหัวใจบีบตัว เลือดจะถูกส่งออกไป และนี่เองทำให้เกิดแรงดันภายในหลอดเลือด ซึ่งแรงดันนี้จะมีตัวเลขที่บอกถึง “ความดันตัวบน” และ “ความดันตัวล่าง“
ค่าความดันโลหิตปกติคือเท่าไหร่?
โดยทั่วไป ค่าความดันโลหิตจะวัดออกมาเป็นสองตัวเลข เช่น 120/80 mmHg ซึ่งมีความหมายดังนี้
- Systolic (ความดันตัวบน) เป็นค่าความดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดออกไป
- Diastolic (ความดันตัวล่าง) เป็นค่าความดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว เพื่อพักและเติมเลือดใหม่
ค่าความดันโลหิตวัดเป็นหน่วย มิลลิเมตรปรอท (mmHg) โดยค่า “120” คือความดันตัวบน และ “80” คือความดันตัวล่าง
ค่าความดันโลหิตปกติในบุคคลทั่วไป
- ความดันโลหิตปกติ ไม่เกิน 120/80 mmHg
- ความดันโลหิตระดับสูง (Prehypertension) 120-139 / 80-89 mmHg
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension) มากกว่า 140/90 mmHg
ค่าความดันโลหิตปกติในผู้สูงอายุ
สำหรับผู้สูงอายุ ความดันโลหิตปกติอาจสูงกว่าบุคคลทั่วไปเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย
- ความดันปกติของผู้สูงอายุ ไม่เกิน 130/80 mmHg
- หากความดันตัวบนสูงกว่า 140 mmHg หรือตัวล่างสูงกว่า 90 mmHg ควรเฝ้าระวังและปรึกษาแพทย์
ตัวอย่างค่าความดันที่ควรรู้
- 120/80 mmHg = ความดันโลหิตปกติ
- 140/90 mmHg = ความดันสูง เริ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
- 90/60 mmHg = ความดันต่ำ เสี่ยงหน้ามืด เวียนหัว
ทำไมค่าความดันโลหิตจึงสำคัญ?
ความดันโลหิตเป็นส่วนสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไปเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะช็อกได้
ดังนั้นการตรวจวัดค่าความดันเป็นประจำจะช่วยให้รู้เท่าทันสุขภาพและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีค่าความดันปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญของทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเป็นพิเศษ
ค่าความดันโลหิตของผู้สูงอายุตามช่วงอายุ
การรู้ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในแต่ละช่วงวัยช่วยให้สามารถเฝ้าระวังสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไป
ช่วงอายุ (ปี) | ความดันตัวบน (Systolic) | ความดันตัวล่าง (Diastolic) |
---|---|---|
30 – 39 | 120 mmHg | 80 mmHg |
40 – 49 | 125 mmHg | 82 mmHg |
50 – 59 | 130 mmHg | 85 mmHg |
60 – 69 | 135 mmHg | 87 mmHg |
70 – 79 | 140 mmHg | 88 mmHg |
80 ขึ้นไป | 145 mmHg | 90 mmHg |
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
- หากพบค่าความดันโลหิตเกิน 140/90 mmHg ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง
- สำหรับผู้สูงอายุที่มีค่าความดัน ต่ำกว่า 90/60 mmHg ควรระวังอาการวิงเวียน หน้ามืด และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
ความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำในผู้สูงอายุ สิ่งที่ควรรู้เพื่อสุขภาพที่ดี
ความดันโลหิตของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากทั้ง ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) และ ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ หากเรารู้เท่าทันสัญญาณเตือนและป้องกันได้ทันท่วงที ย่อมช่วยให้การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีคุณภาพมากขึ้น
1. ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ (Hypertension)
สาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุมักเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
- อายุที่เพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง ทำให้แรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง การไม่ออกกำลังกาย หรือความเครียดสะสม
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง หรือโรคอ้วน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
ค่าความดันโลหิตที่ถือว่าเป็นอันตราย
ค่าความดันโลหิตที่สูงเกินเกณฑ์สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ โดยมีแนวทางดังนี้
- ความดันโลหิตปกติ ไม่เกิน 120/80 mmHg
- เริ่มมีความเสี่ยง 130/85 mmHg ขึ้นไป
- ความดันโลหิตสูงระดับ 1: 140/90 mmHg
- ความดันโลหิตสูงระดับ 2: 160/100 mmHg ขึ้นไป
คำถามที่หลายคนสงสัย เช่น “ความดัน 150 สูงไหม?” หรือ “ความดัน 160 อันตรายไหม?” คำตอบคือ ความดัน 150/90 mmHg ถือว่าเริ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ส่วน 160/100 mmHg ถือว่าเป็นระดับที่ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตกและหัวใจล้มเหลว
2. ความดันโลหิตต่ำในผู้สูงอายุ (Hypotension)
สัญญาณเตือนเมื่อความดันต่ำเกินไป
ความดันโลหิตต่ำอาจเป็นภาวะที่หลายคนมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นปัญหาที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ โดยสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่
- เวียนหัวหรือหน้ามืดเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น ลุกจากที่นั่งเร็วเกินไป
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
- เหงื่อออกมากผิดปกติ แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
ปัญหาที่เกิดจากความดันโลหิตต่ำ
เมื่อความดันโลหิตต่ำมากๆ โดยเฉพาะหากความดันตัวล่างต่ำกว่า 60 mmHg จะส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการดังนี้
- หน้ามืดเป็นลม เสี่ยงต่อการหกล้มและเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- ภาวะช็อก กรณีที่ความดันต่ำอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะช็อกและหัวใจล้มเหลวได้
- การทำงานของอวัยวะล้มเหลว เลือดไปเลี้ยงไตและหัวใจไม่พอ ทำให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน
ค่าความดันที่ต่ำกว่า 90/60 mmHg จึงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หากพบว่ามีอาการร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำ
- ความดันสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ลดน้ำตาล และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ความดันต่ำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอดอาหาร และลุก-นั่งช้าๆ เพื่อป้องกันการหน้ามืด
การเฝ้าระวังค่าความดันโลหิตเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคและอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หากสงสัยว่าความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไป ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม!
การอ่านค่าความดันโลหิตอย่างถูกต้อง (How to Read Blood Pressure)
การวัดความดันโลหิตเป็นหนึ่งในวิธีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นที่สำคัญ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การอ่านค่าอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณเข้าใจสถานะสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การอ่านค่าความดันโลหิต 3 ตัว (SYS / DIA / PUL)
เมื่อคุณวัดความดันโลหิต ค่าที่ปรากฏบนหน้าจอเครื่องวัดจะมี 3 ค่าหลัก ที่ต้องทำความเข้าใจ ได้แก่
- SYS (Systolic Pressure) ค่าความดันตัวบน หรือแรงดันในหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือด
- ค่าที่เหมาะสมคือ 120-129 mmHg
- ตัวอย่างค่า: 120 mmHg
- DIA (Diastolic Pressure) ค่าความดันตัวล่าง หรือแรงดันในหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
- ค่าที่เหมาะสมคือ 80-84 mmHg
- ตัวอย่างค่า: 80 mmHg
- PUL (Pulse Rate) อัตราการเต้นของหัวใจใน 1 นาที
- โดยปกติค่าชีพจรจะอยู่ที่ 60-100 ครั้ง/นาที
- ตัวอย่างค่า: 70 ครั้งต่อนาที
💡 ตัวอย่างการอ่านค่าความดัน
หากค่าความดันแสดงเป็น 120/80 mmHg และอัตราการเต้นของหัวใจ 70 bpm (beats per minute) หมายความว่าความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
2. วิธีการวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้อง
การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ และป้องกันการตีความผิดพลาด มีวิธีปฏิบัติดังนี้
ขั้นตอนการวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง
เตรียมตัวก่อนวัด
- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟหรือชาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนวัด
- นั่งพักในท่าสบายๆ ประมาณ 5 นาที
ท่านั่งที่เหมาะสม
- นั่งตัวตรง พิงพนัก เก็บแขนไว้ในระดับเดียวกับหัวใจ
- วางเท้าราบกับพื้น และไม่ไขว่ห้าง
การวัดความดัน
- พันผ้าพันแขน (Cuff) ให้อยู่ระดับเหนือข้อศอกประมาณ 1-2 เซนติเมตร
- เริ่มกดปุ่มวัด และไม่พูดหรือขยับตัวระหว่างการวัด
วัดซ้ำ
- วัดซ้ำ 2-3 ครั้งห่างกันประมาณ 1 นาที แล้วหาค่าเฉลี่ย
เวลาที่เหมาะสมในการวัดความดัน
- ช่วงเช้า หลังตื่นนอน และก่อนรับประทานอาหาร
- ช่วงเย็น หลังจากกิจกรรมระหว่างวัน เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของความดัน
3. แนะนำเครื่องวัดความดันโลหิตสำหรับผู้สูงอายุ
การเลือกเครื่องวัดความดันโลหิตที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้งานได้ง่ายและสะดวกขึ้น เครื่องวัดความดันที่แนะนำมีดังนี้
ประเภทเครื่องวัดความดัน
เครื่องวัดความดันแบบอัตโนมัติ (Digital Blood Pressure Monitor)
- ใช้งานง่าย เพียงกดปุ่มเดียว เครื่องจะวัดและแสดงผลได้ทันที
- เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน
เครื่องวัดความดันแบบรัดต้นแขน
- ให้ค่าที่แม่นยำกว่ารุ่นที่วัดจากข้อมือ
- แนะนำสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการตรวจวัดประจำ
เครื่องวัดความดันแบบรัดข้อมือ
- พกพาสะดวก เหมาะสำหรับการวัดนอกสถานที่
- อาจมีความคลาดเคลื่อน หากผู้ใช้อยู่ในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
💡 ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมองหา
- จอแสดงผลขนาดใหญ่ อ่านง่าย
- มีหน่วยความจำบันทึกค่าได้หลายครั้ง
- มีระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
เคล็ดลับการใช้เครื่องวัดความดันให้มีประสิทธิภาพ
- ควรตรวจสอบแบตเตอรี่หรือการชาร์จไฟของเครื่องวัด
- ทำความสะอาดผ้าพันแขนอย่างสม่ำเสมอ
- หากค่าแสดงผลแตกต่างจากปกติมาก ควรวัดซ้ำเพื่อความแม่นยำ
ความเสี่ยงและอาการที่ควรเฝ้าระวัง ความดันโลหิตสูงและต่ำ
ความดันโลหิตเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน หากค่าความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาวได้ การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและอาการที่ควรเฝ้าระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
1. ความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไป
ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
หลายคนสงสัยว่า “ความดัน 100/60 ปกติไหม?” คำตอบคือ ค่าความดัน 100/60 mmHg ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ แต่ยังอาจปกติสำหรับบางคนที่สุขภาพแข็งแรง หากไม่มีอาการวิงเวียนหรืออ่อนเพลียร่วมด้วย แต่ถ้ารู้สึกหน้ามืดบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
“ความดัน 110/70 mmHg ปกติไหม?” สำหรับผู้สูงอายุ ค่านี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและไม่มีความเสี่ยง แต่ถ้าความดันเพิ่มขึ้นเป็น 140/90 mmHg หรือมากกว่า จะถือว่าเป็นความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องเริ่มเฝ้าระวัง
2. อาการที่ควรเฝ้าระวังจากความดันผิดปกติ
อาการที่พบได้ในผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
- วิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะเวลาลุกนั่งหรือเปลี่ยนท่าทางเร็วเกินไป
- หน้ามืดหรือเป็นลม เกิดจากเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
- อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรงแม้จะพักผ่อนเพียงพอ
💡 หากค่าความดันต่ำกว่า 90/60 mmHg และมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
อาการที่พบได้ในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
- แน่นหน้าอก เป็นสัญญาณเตือนของการทำงานหนักของหัวใจ
- ปวดศีรษะ โดยเฉพาะอาการปวดตุบๆ ที่ขมับ
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติและหายใจไม่อิ่ม
- ความดันตัวล่างสูง เช่น ค่าตัวล่างเกิน 90 mmHg หากสูงกว่า 100 mmHg ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นภาวะที่หลอดเลือดกำลังทำงานหนักเกินไป
3. ผลกระทบจากความดันโลหิตผิดปกติ
หากค่าความดันโลหิตผิดปกติเป็นเวลานาน อาจเกิดภาวะร้ายแรง เช่น
- โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดตีบหรือแตก ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
- ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากหัวใจทำงานหนักเกินไปจากความดันโลหิตสูง
- ภาวะช็อก กรณีความดันต่ำมากจนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่พอ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
4. วิธีป้องกันและจัดการความดันโลหิตผิดปกติ
- วัดความดันเป็นประจำ เพื่อติดตามค่าและสังเกตความเปลี่ยนแปลง
- ปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารเค็มและน้ำตาล ควรเลือกอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย และผักใบเขียว
- พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ความดันโลหิตสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ป้องกันภาวะขาดน้ำซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ
การดูแลความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูงหรือต่ำ หากปล่อยไว้โดยไม่เฝ้าระวัง อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองและผู้สูงอายุที่คุณรักด้วยการวัดความดันสม่ำเสมอและปรึกษาแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ!
วิธีปรับความดันโลหิตให้สมดุล (How to Balance Blood Pressure)
การปรับสมดุลความดันโลหิตเป็นกุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงหรือต่ำ การปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือช่วยเสริมประสิทธิภาพของการรักษาได้อย่างดี
1. การดูแลสุขภาพทั่วไปเพื่อปรับสมดุลความดันโลหิต
1.1 การควบคุมอาหาร
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดปัจจัยเสี่ยงจากอาหารบางชนิด ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้
- ลดโซเดียม หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และของดอง
- เพิ่มโพแทสเซียม เช่น กล้วย อะโวคาโด ผักใบเขียว ช่วยลดผลกระทบของโซเดียมและปรับสมดุลของความดัน
- อาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสูง เช่น ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน และธัญพืชเต็มเมล็ด
- ลดน้ำตาลและไขมันทรานส์ เลี่ยงขนมหวาน เบเกอรี่ และอาหารทอด
1.2 การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมที่ไม่หนักเกินไป เช่น
- เดินเร็ว วันละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์
- โยคะและการยืดเส้น ช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลความดันโลหิต
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักเกินไป โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ควรออกกำลังกายที่เหมาะสมตามวัย
1.3 การพักผ่อนและลดความเครียด
- นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
- ฝึกหายใจลึกๆ เพื่อลดระดับความดันโลหิตในช่วงที่รู้สึกเครียด
- ทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การฟังเพลงเบาๆ อ่านหนังสือ หรือทำสวน
2. เคล็ดลับ 6 วิธีลดความดันโดยไม่ใช้ยา (6 Ways to Lower Blood Pressure Without Medication)
ลดเกลือในอาหาร ลดปริมาณเกลือที่ใช้ปรุงอาหาร เช่น ใช้น้ำมะนาวเพิ่มรสเปรี้ยวแทนการเติมน้ำปลา และเลือกใช้เครื่องปรุงสูตรโซเดียมต่ำ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันภาวะความดันต่ำในผู้สูงอายุ
ลดน้ำหนักส่วนเกิน สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว จะช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเลิกสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์และสารนิโคตินมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีแมกนีเซียมและแคลเซียม อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียมและแคลเซียม เช่น นมถั่วเหลือง ผักคะน้า และอัลมอนด์ ช่วยลดความดันโลหิต
ฝึกทำสมาธิและจดจ่อกับลมหายใจ การทำสมาธิและฝึกหายใจเป็นจังหวะช่วยลดความเครียด ลดการเต้นของหัวใจ และทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับเสริม
- หมั่นตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ เพื่อให้รู้แนวโน้มความเปลี่ยนแปลง
- จดบันทึกค่าและแจ้งแพทย์เมื่อพบค่าที่ผิดปกติ
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึกหรือกาแฟช่วงเย็น เพราะจะส่งผลต่อความดันและการนอนหลับ
หากปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์สมดุล ลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน และทำให้การใช้ชีวิตในวัยเกษียณมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งนี้ หากพบค่าความดันที่สูงหรือต่ำผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด!
อุปกรณ์วัดความดันยี่ห้อไหนดี? เลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
การเลือกเครื่องวัดความดันโลหิตที่ดีและแม่นยำ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพด้วยตัวเองที่บ้าน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ควรเฝ้าระวังค่าความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูงหรือความดันต่ำ การมีเครื่องวัดความดันที่มีคุณภาพ ช่วยให้สามารถติดตามผลได้อย่างถูกต้อง และลดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนได้
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกเครื่องวัดความดันโลหิต
ความแม่นยำในการวัดผล เลือกเครื่องวัดความดันที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ เช่น เครื่องที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสมาคมโรคหัวใจ
ประเภทของเครื่องวัดความดัน
- เครื่องวัดความดันแบบรัดต้นแขน ให้ค่าที่แม่นยำกว่ารุ่นที่วัดจากข้อมือ
- เครื่องวัดความดันแบบข้อมือ พกพาสะดวก ใช้งานง่าย แต่ควรนั่งในท่าที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ
จอแสดงผลขนาดใหญ่และการใช้งานที่ง่าย เครื่องวัดที่มีหน้าจอใหญ่และตัวเลขชัดเจน จะช่วยให้ผู้สูงอายุอ่านค่าผลลัพธ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ฟังก์ชันการบันทึกผลการวัด ควรเลือกเครื่องที่สามารถบันทึกผลความดันได้หลายครั้ง เพื่อช่วยในการติดตามผลย้อนหลังได้สะดวก
แนะนำเครื่องวัดความดันยี่ห้อไหนดี
1. Omron
- จุดเด่น เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มเครื่องวัดความดันโลหิต
- ฟังก์ชันเด่น มีระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าความดันผิดปกติ บันทึกผลย้อนหลังได้ถึง 60 ครั้ง
- เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุที่ต้องการความแม่นยำสูง
- รุ่นแนะนำ Omron HEM-7121 และ Omron HEM-8712
2. Microlife
- จุดเด่น ใช้เทคโนโลยีตรวจจับการเต้นของหัวใจผิดปกติ (AFIB)
- ฟังก์ชันเด่น สามารถวัดค่าความดันและแจ้งเตือนการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการตรวจสอบความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
3. Beurer
- จุดเด่น ดีไซน์เรียบหรู ใช้งานง่าย และมีจอแสดงผลขนาดใหญ่
- ฟังก์ชันเด่น ระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติหลังการวัดเสร็จ ลดการใช้พลังงาน
- เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุที่ต้องการเครื่องวัดที่อ่านค่าได้ง่าย
4. Citizen
- จุดเด่น ราคาย่อมเยาแต่ยังคงความแม่นยำ
- ฟังก์ชันเด่น เครื่องวัดความดันรุ่นพกพาสะดวก น้ำหนักเบา และใช้งานง่าย
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่เดินทางบ่อยและต้องการตรวจความดันนอกสถานที่
5. Yuwell
- จุดเด่น แบรนด์ที่เน้นเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ มีฟังก์ชันแจ้งเตือนเมื่อค่าความดันเกินเกณฑ์
- ฟังก์ชันเด่น วัดผลรวดเร็วและแสดงผลบนจอ LCD อย่างชัดเจน
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเครื่องวัดราคาคุ้มค่า และใช้ได้ในระยะยาว
วิธีใช้เครื่องวัดความดันให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด
- นั่งในท่าที่เหมาะสม โดยพิงพนักเก้าอี้และวางแขนในระดับหัวใจ
- งดดื่มกาแฟหรือชาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนวัด
- วัดซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยพักระหว่างรอบประมาณ 1 นาที แล้วหาค่าเฉลี่ย
สำหรับใครที่สงสัยว่า “เครื่องวัดความดันยี่ห้อไหนดี?” คำตอบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ หากต้องการความแม่นยำและฟังก์ชันการแจ้งเตือนที่ครบครัน Omron และ Microlife เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากเน้นความสะดวกและราคาคุ้มค่า Citizen และ Yuwell ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
อย่าลืมตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และเลือกเครื่องวัดที่เหมาะกับผู้ใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าความดันโลหิตของคุณและคนที่คุณรักจะอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยและแข็งแรงในทุกๆ วัน!
วิธีทำความสะอาดเครื่องวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้อง
การทำความสะอาดเครื่องวัดความดันโลหิตเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาความสะอาดและยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือ เพื่อให้ได้ผลการวัดที่แม่นยำอยู่เสมอ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ต้องใช้งานบ่อยๆ มาดูกันว่า วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องควรทำอย่างไรบ้าง
ขั้นตอนการทำความสะอาดเครื่องวัดความดันโลหิต
1. ปิดเครื่องและถอดปลั๊ก (หากใช้ไฟฟ้า)
- ก่อนทำความสะอาด ควรปิดเครื่องและถอดแบตเตอรี่ หรือปลั๊กไฟ เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำหรือของเหลว
2. ทำความสะอาดผ้าพันแขน (Cuff)
ผ้าพันแขนเป็นส่วนที่สัมผัสผิวหนังโดยตรง จึงอาจมีเหงื่อและสิ่งสกปรกสะสม
- วิธีทำความสะอาด
- ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่เจือจางหรือแอลกอฮอล์ 70% เช็ดให้ทั่ว
- ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดซ้ำเพื่อกำจัดคราบสบู่
- ตากในที่ร่มให้แห้งสนิท ห้ามซักด้วยเครื่องซักผ้าหรือจุ่มน้ำเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สายวัดเสียหาย
3. ทำความสะอาดตัวเครื่อง
ตัวเครื่องวัดเป็นส่วนสำคัญที่ต้องระมัดระวังเรื่องความชื้น
- วิธีทำความสะอาด
- ใช้ผ้านุ่มหรือผ้าชามัวร์ชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตัวเครื่องอย่างเบามือ
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีแรงๆ เช่น แอมโมเนียหรือสารฟอกขาว เพราะอาจทำลายพื้นผิวของเครื่อง
- ใช้สำลีก้านชุบน้ำหมาดๆ ทำความสะอาดซอกเล็กๆ เช่น บริเวณปุ่มกด
4. ทำความสะอาดหน้าจอแสดงผล
หน้าจอแสดงผลเป็นส่วนที่ต้องระวังไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน
- ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้านุ่มๆ แห้ง เช็ดทำความสะอาดฝุ่นและรอยนิ้วมือ
- ห้ามใช้ของแข็งขูดหรือถูบริเวณหน้าจอ
ข้อควรระวังในการทำความสะอาด
- อย่าใช้น้ำฉีดล้าง เพราะอาจทำให้น้ำซึมเข้าไปในวงจรของเครื่อง
- ไม่ใช้เครื่องเป่าลมร้อน เช่น ไดร์เป่าผม เพราะความร้อนอาจทำให้วงจรภายในเสียหาย
- ห้ามแช่ผ้าพันแขนในน้ำ เนื่องจากจะทำให้วัสดุและสายภายในเสียหาย
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ทำความสะอาดเครื่องวัดความดันโลหิต สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือเมื่อใช้งานหลังเหงื่อออกหรือใช้งานร่วมกับผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัย
- ควรเปลี่ยนผ้าพันแขนใหม่หากเริ่มมีรอยขาดหรือเสื่อมสภาพ เพราะอาจส่งผลต่อความแม่นยำในการวัด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความดันโลหิตผู้สูงอายุ
ความดันโลหิตปกติของผู้หญิงและผู้ชายต่างกันหรือไม่?
ในภาพรวม ค่าความดันโลหิตปกติของผู้หญิงและผู้ชายไม่ต่างกันมากนัก โดยค่าความดันโลหิตปกติในผู้ใหญ่ควรอยู่ที่ประมาณ 120/80 mmHg แต่ในผู้สูงอายุ ความแตกต่างอาจเกิดขึ้นได้เล็กน้อย เช่น
- ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน มีแนวโน้มความดันโลหิตสูงขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ส่งผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด
- ผู้ชาย มีแนวโน้มความดันสูงตั้งแต่วัยกลางคน และอาจพัฒนาเป็นความดันโลหิตสูงในวัยชรา
💡 การตรวจวัดค่าความดันเป็นประจำจึงสำคัญสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังอายุ 50 ปีขึ้นไป
ความดันปกติสำหรับผู้ที่อายุ 70-80 ปีควรเป็นเท่าไหร่?
ผู้สูงอายุที่อายุ 70-80 ปี ค่าความดันโลหิตปกติจะสูงกว่าคนวัยหนุ่มสาวเล็กน้อย เนื่องจากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลให้แรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
- ค่าความดันตัวบน (Systolic) ไม่ควรเกิน 130-140 mmHg
- ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic) ไม่ควรเกิน 80-85 mmHg
หากความดันสูงเกิน 160/90 mmHg จะถือว่าเข้าสู่ระดับที่เสี่ยงและควรพบแพทย์ทันที
💡 หากความดันตัวล่างต่ำกว่า 60 mmHg อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนได้ ควรเฝ้าระวังภาวะความดันต่ำ
การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตผิดปกติ
การดูแลผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- ลดการบริโภคอาหารเค็ม หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก ของหมักดอง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
- ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเล่น โยคะ หรือรำไทเก็ก อย่างน้อยวันละ 30 นาที
- ลดความเครียด ฝึกหายใจลึกๆ หรือทำสมาธิเพื่อลดการเต้นของหัวใจ
- ดื่มน้ำเปล่า ให้เพียงพอต่อวัน (6-8 แก้ว) เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี
การดูแลผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
- ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อช่วยปรับสมดุลเกลือแร่และน้ำในร่างกาย
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลุกนั่งอย่างช้าๆ เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงท่าทางที่เร็วเกินไป
- เพิ่มอาหารที่มีโซเดียมเล็กน้อย เช่น ซุปไก่ แต่ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
- เลี่ยงการอดอาหาร ควรทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ต้องทำอย่างไรหากพบค่าความดันผิดปกติ?
- หากความดันโลหิตสูงกว่า 160/100 mmHg หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวมาก แน่นหน้าอก หรือมือเท้าชา ควรรีบพบแพทย์ทันที
- หากค่าความดันต่ำกว่า 90/60 mmHg และมีอาการวิงเวียน หรืออ่อนเพลีย ควรนั่งพักและดื่มน้ำก่อน หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
สอบถามข้อมูลการดูแลผู้สูงอายุโดยตรงกับ Need Nurse Group หรือไม่?
บริษัท นีด เนิร์ส กรุ๊ป จำกัด ยินดีให้คำปรึกษาทุกท่าน โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุได้ที่ โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NEEDNURSE