โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คืออะไร?

     โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกว่า “สโตรก” (Stroke) คือภาวะที่เซลล์สมองถูกทำลายเนื่องจากการขาดเลือดและออกซิเจน สาเหตุหลักมาจากหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือแตก ส่งผลให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อาจนำไปสู่อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต

โรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี การเกิดโรคนี้ในผู้สูงอายุไม่เพียงแต่เพิ่มอัตราการเสียชีวิต แต่ยังส่งผลให้เกิดความพิการ ทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งพาคนในครอบครัวหรือผู้ดูแลในการทำกิจวัตรประจำวัน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว

การป้องกันและดูแลสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพประจำปี สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้

ข้อมูลจาก สมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย ระบุว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยในปี พ.ศ. 2560 มีผู้เสียชีวิตถึง 23,220 ราย คิดเป็นอัตรา 35.9 ต่อประชากรแสนคน และความถี่ของโรคนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี

  1. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
  2. โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
  3. โรคหัวใจ (Heart Disease)
  4. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  5. โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
  6. โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
  7. โรคต้อกระจก (Cataract)
  8. โรคต้อหิน (Glaucoma)
  9. โรคสมองเสื่อม (Dementia)
  10. โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Depression in the Elderly)
  11. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)
  12. โรคมะเร็ง (Cancer)
สารบัญหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ

อาการและสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ

  • แขนขาอ่อนแรง รู้สึกชา หรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขน หรือขา โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและมักเกิดขึ้นที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
  • พูดไม่ชัด มีปัญหาในการพูด พูดไม่ชัด หรือไม่สามารถเข้าใจคำพูดได้อย่างปกติ
  • เดินเซ สูญเสียการทรงตัว เดินไม่มั่นคง หรือเวียนศีรษะอย่างฉับพลัน

10 สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง

  • สูญเสียการทรงตัว (Balance) เวียนศีรษะ หรือเสียการทรงตัวอย่างกะทันหัน
  • ตาพร่ามัว (Eyes) มองเห็นไม่ชัดเจนในตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
  • ใบหน้าเบี้ยว (Face) ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งหย่อน หรือปากเบี้ยว
  • แขนขาอ่อนแรง (Arms) แขนหรือขาซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
  • พูดติดขัด (Speech) พูดไม่ชัด พูดไม่ออก หรือสับสน
  • ปวดศีรษะรุนแรง ปวดศีรษะอย่างฉับพลันและรุนแรง
  • สับสน ไม่เข้าใจสิ่งรอบข้าง หรือมีปัญหาในการคิด
  • มองเห็นภาพซ้อน เห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นภาพบิดเบี้ยว
  • กลืนลำบาก มีปัญหาในการกลืนอาหารหรือน้ำ
  • ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า รู้สึกชา หรืออ่อนแรงที่ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง

หากพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ควรทำอย่างไร

  • โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที หรือไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด (สายด่วนสุขภาพ 1669)
  • จดบันทึกเวลา ที่เริ่มมีอาการ เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • อย่ารอจนกว่าอาการจะหายไปเอง เพราะการรักษาที่รวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ข้อควรจำ

  • เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง การรักษาที่รวดเร็วสามารถลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว
  • สัญญาณเตือนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรง
  • หากสงสัยว่ามีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แม้ว่าอาการจะไม่รุนแรงก็ตาม

รู้ทันสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

  1. โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด (atherosclerosis) หรือจากการที่มีลิ่มเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายหลุดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
  2. โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) เกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เลือดไหลเข้าไปในเนื้อสมอง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม หรือความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดโป่งพอง เมื่อเลือดไหลออกนอกหลอดเลือด จะกดทับเนื้อสมองและทำลายเซลล์สมอง

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในผู้สูงอายุ

  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • คอเลสเตอรอลสูง (Hyperlipidemia) ระดับคอเลสเตอรอลที่สูงในเลือดสามารถนำไปสู่การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากภาวะนี้สามารถทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
  • การสูบบุหรี่ (Smoking) สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • การรับประทานอาหารไขมันสูง (High-fat diet) การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงสามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • ภาวะอ้วน (Obesity) ภาวะอ้วนมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
  • การขาดการออกกำลังกาย (Lack of exercise) การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
  • อายุ (Age) อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่การตระหนักถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามอายุก็เป็นสิ่งสำคัญ
  • ประวัติครอบครัว (Family history) ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ

  • ควบคุมความดันโลหิต การตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอและควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
  • ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล การรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
  • ควบคุมโรคเบาหวาน ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • เลิกสูบบุหรี่ การเลิกสูบบุหรี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ มีกากใยสูง และมีผักและผลไม้หลากหลายชนิด
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
  • ปรึกษาแพทย์ การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและรับคำแนะนำในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเป็นสิ่งสำคัญ

1. การควบคุมความดันโลหิต

ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ วิธีการควบคุมความดันโลหิต

  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังระดับความดันโลหิต

2. การเลือกรับประทานอาหาร

โภชนาการที่ดีมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง คำแนะนำในการรับประทานอาหาร

  • บริโภคอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง
  • ลดการบริโภคน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
  • เลือกใช้น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันรำข้าว

3. การออกกำลังกายที่เหมาะสม

การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ

  • ออกกำลังกายระดับปานกลาง อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ
  • เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความสามารถ
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่

แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

1. การรักษาด้วยยา

  • ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดเฉียบพลัน การให้ยาละลายลิ่มเลือด rtPA ภายใน 4.5 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการสามารถช่วยเปิดหลอดเลือดที่อุดตันและฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง อย่างไรก็ตาม การให้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีข้อห้ามและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา

  • การรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด (Mechanical Thrombectomy) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการอุดตันของหลอดเลือดใหญ่ในสมอง การใช้วิธีผ่านสายสวนหลอดเลือดเพื่อดึงลิ่มเลือดออก (Mechanical Thrombectomy) ภายใน 6 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ สามารถเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้ วิธีนี้มักใช้ร่วมกับการให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือในกรณีที่ยาละลายลิ่มเลือดไม่ได้ผล

2. การฟื้นฟูสมรรถภาพ

  • กายภาพบำบัด หลังจากพ้นระยะวิกฤต การทำกายภาพบำบัดเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทำกิจวัตรประจำวัน โปรแกรมกายภาพบำบัดจะถูกออกแบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการทรงตัว

  • การฟื้นฟูด้านการสื่อสารและการกลืน ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาในการพูดหรือการกลืน การบำบัดโดยนักแก้ไขการพูดจะช่วยปรับปรุงความสามารถเหล่านี้

3. การดูแลหลังการรักษา

  • การควบคุมปัจจัยเสี่ยง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และการเลิกสูบบุหรี่ เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการเกิดโรคซ้ำ

  • การติดตามผลและการสนับสนุนทางจิตใจ การนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ และการให้การสนับสนุนทางจิตใจจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

เส้นเลือดในสมองแตกมีโอกาสรอดไหม?

     การเกิดเส้นเลือดในสมองแตก หรือภาวะเลือดออกในสมอง ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โอกาสรอดชีวิตขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการแตก ตำแหน่งที่เกิด และความรวดเร็วในการได้รับการรักษา หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีความพิการหลงเหลือหลังการรักษา

     ระยะเวลาการพักฟื้นหลังเส้นเลือดในสมองแตกขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการตอบสนองต่อการรักษา บางรายอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนในการฟื้นฟู การทำกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูสมรรถภาพมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ

  • ควบคุมความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ควรตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอและรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ โซเดียมต่ำ และมีใยอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยง
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ สารนิโคตินและแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

     โรคหลอดเลือดสมองบางกรณีอาจเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีอาการเตือน แต่บางรายอาจมีอาการเตือนล่วงหน้า เช่น แขนขาอ่อนแรงชั่วขณะ พูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน หรือเวียนศีรษะผิดปกติ ซึ่งเรียกว่า Transient Ischemic Attack (TIA) หรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์ทันที

     ได้! ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเกิดซ้ำสูง โดยเฉพาะหากไม่ได้ควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือการสูบบุหรี่ การปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน เช่น การใช้ยาและการปรับพฤติกรรมสุขภาพ จะช่วยลดความเสี่ยง

     ใช่! พันธุกรรมมีผลต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสามารถลดลงได้ด้วยการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร

    มีการศึกษาบางชิ้นพบว่า การดื่มกาแฟหรือชาในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่หากดื่มมากเกินไป (โดยเฉพาะกาแฟที่มีคาเฟอีนสูง) อาจเพิ่มความดันโลหิตซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรค

     ใช่! ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายต่ำลง ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น

    ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค หากผู้ป่วยได้รับการรักษาและฟื้นตัวดีแล้ว อาจสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือภาวะสมองบวม

บริษัท นีด เนิร์ส กรุ๊ป จำกัด ยินดีให้คำปรึกษาทุกท่าน โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุครบวงจร โดยผู้ดูแลมืออาชีพ โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NEEDNURSE

Nicha
เมื่อคนที่คุณรักต้องการการดูแลที่ดีที่สุด แต่คุณเองก็ต้องการความสบายใจ Need ผู้ดูแล ... นึกถึง Need Nurse เพราะเราคือคำตอบของความอุ่นใจและการดูแลที่คุณวางใจได้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า