ทำความรู้จักโรคมะเร็งในผู้สูงอายุเพื่อการดูแลที่ดีขึ้น
โรคมะเร็งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้สูงอายุ เนื่องจากอัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น การเสื่อมสภาพของเซลล์และระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ
ในผู้สูงอายุ กระบวนการเสื่อมสภาพของร่างกายส่งผลให้เซลล์มีการกลายพันธุ์และเสื่อมสภาพมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี รังสี และจุลชีพ สะสมมาเป็นเวลานาน ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เรื่อง โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการป้องกัน ผศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล พบว่ามะเร็งที่พบบ่อยในผู้สูงอายุชาย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ส่วนในผู้หญิงสูงอายุ พบมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ เป็นอันดับต้นๆ
การป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในผู้สูงอายุสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น หยุดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในผู้สูงอายุ
- อายุที่มากขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก เนื่องจากการเสื่อมสภาพของเซลล์และระบบภูมิคุ้มกัน
- การสัมผัสสารก่อมะเร็ง การสัมผัสสารเคมี รังสี และจุลชีพสะสมมาเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม และการขาดการออกกำลังกาย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
- โรคหัวใจ (Heart Disease)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
- โรคต้อกระจก (Cataract)
- โรคต้อหิน (Glaucoma)
- โรคสมองเสื่อม (Dementia)
- โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Depression in the Elderly)
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)
- โรคมะเร็ง (Cancer)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในผู้สูงอายุ
การเพิ่มขึ้นของอายุเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ในร่างกายมีโอกาสเกิดการเสื่อมสภาพและกลายพันธุ์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดก้อนเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หัวข้อเรื่อง โรคมะเร็งกับผู้สูงอายุ หมอเผยเซลล์เสื่อมทำเสี่ยง เผยแพร่วันที่ 10 มกราคม 2562
ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ยีนบางชนิดที่กลายพันธุ์สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตยังมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก
โรคประจำตัวที่อาจเพิ่มความเสี่ยง
โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (เช่น โรคโครห์น หรืออัลเซอเรทีฟ โคลิติส) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้
การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในผู้สูงอายุ
อาการและสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งในผู้สูงอายุ
การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากอาการมะเร็งมักไม่ชัดเจนและอาจถูกมองข้ามได้ง่าย การรู้จักอาการและสัญญาณเตือนต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถรับการรักษาได้ทันท่วงที
15 อาการเริ่มต้นของมะเร็งที่ไม่ควรมองข้าม
- การเปลี่ยนแปลงของเต้านม การคลำพบก้อน เจ็บ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของหัวนม เช่น แดง หนา หรือมีสารหลั่งผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง การเปลี่ยนแปลงของไฝหรือแผลที่ไม่หายสักที
- การเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย ท้องผูกหรือท้องเสียที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือมีเลือดปนในอุจจาระ
- การเปลี่ยนแปลงของระบบปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือดหรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- อาการไอหรือเสียงแหบเรื้อรัง ไอที่ไม่หายหรือเสียงแหบเป็นเวลานาน
- กลืนอาหารลำบาก รู้สึกเจ็บหรือไม่สะดวกเมื่อกลืนอาหาร
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกาย
- เลือดออกผิดปกติ มีเลือดออกที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกระหว่างรอบเดือน
- แผลที่ไม่หายสักที แผลที่ไม่หายหรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง
- อาการปวดเรื้อรัง ปวดที่ไม่ทราบสาเหตุและไม่หายไป
- อาการบวม บวมที่ไม่ทราบสาเหตุหรือบวมที่ไม่หาย
- อาการเหนื่อยล้า รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุ
- อาการหายใจลำบาก หายใจลำบากหรือหายใจสั้น
- อาการเสียงแหบ เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนแปลง
- อาการอื่น ๆ เช่น ไข้เรื้อรังหรือการติดเชื้อบ่อยครั้ง
วิธีสังเกตความผิดปกติของร่างกาย
- ตรวจร่างกายตนเอง หมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น การคลำหาก้อนหรือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
- สังเกตอาการที่ไม่ปกติ หากมีอาการที่ไม่หายไปหรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์
- ตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยในการตรวจพบความผิดปกติได้เร็วขึ้น
ความแตกต่างของอาการมะเร็งแต่ละประเภท
- มะเร็งปอด ไอเรื้อรัง หายใจลำบาก หรือไอเป็นเลือด
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียที่ไม่ทราบสาเหตุ
- มะเร็งตับ ปวดหรือบวมที่ช่องท้องด้านขวาบน เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
- มะเร็งเต้านม การคลำพบก้อนในเต้านม การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือหัวนม
- มะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกจากช่องคลอดที่ไม่ปกติ หรือปวดหลังมีเพศสัมพันธ์
ประเภทของมะเร็งที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
โรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยชนิดของมะเร็งที่พบบ่อยในกลุ่มนี้ ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย และมะเร็งเต้านมในเพศหญิง การรักษาและโอกาสรอดชีวิตของมะเร็งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน
มะเร็งลำไส้ใหญ่
การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การผ่าตัดร่วมกับการให้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสีอาจช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต (หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีแรกอาจสูงถึง 90%)
มะเร็งปอด
ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง การรักษาอาจประกอบด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี การให้เคมีบำบัด หรือการใช้ยามุ่งเป้า (มะเร็งปอดมักถูกตรวจพบในระยะที่ลุกลาม ทำให้โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีแรกต่ำกว่า 20%)
มะเร็งตับ
การผ่าตัด การปลูกถ่ายตับ การใช้ยามุ่งเป้า หรือการฉายรังสีเป็นวิธีการรักษาที่ใช้ (หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นและสามารถผ่าตัดได้ โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีแรกอาจอยู่ที่ประมาณ 50-70%)
มะเร็งต่อมลูกหมาก (ในเพศชาย)
การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด การผ่าตัด การฉายรังสี การใช้ฮอร์โมนบำบัด หรือการใช้ยามุ่งเป้า (มะเร็งต่อมลูกหมากมักเติบโตช้า หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีแรกอาจสูงถึง 98%)
มะเร็งเต้านม (ในเพศหญิง)
การผ่าตัด การฉายรังสี การให้เคมีบำบัด การใช้ฮอร์โมนบำบัด หรือการใช้ยามุ่งเป้า (หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีแรกอาจสูงถึง 90%)
วิธีการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งในผู้สูงอายุ
การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากช่วยให้พบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้มีโอกาสรักษาได้ผลดีขึ้น โดยวิธีตรวจสามารถแบ่งออกเป็นการคัดกรองมะเร็งและการวินิจฉัยอย่างละเอียด
การตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสม
การตรวจคัดกรองช่วยค้นหามะเร็งที่ยังไม่มีอาการ วิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจหาเลือดในอุจจาระ (FOBT) หรือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
- มะเร็งปอด สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีประวัติสูบบุหรี่เป็นเวลานาน ควรทำ Low-dose CT scan
- มะเร็งตับ ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องและตรวจค่า AFP (Alpha-fetoprotein)
- มะเร็งต่อมลูกหมาก ตรวจค่า PSA (Prostate-Specific Antigen)
- มะเร็งเต้านม ทำแมมโมแกรม (Mammogram) ทุก 1-2 ปี
วิธีการวินิจฉัยมะเร็ง
หากพบความผิดปกติจากการคัดกรอง แพทย์อาจใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจเลือด ค่ามะเร็งในเลือด (Tumor Markers) เช่น CEA, AFP, PSA, CA-125, CA 19-9 ซึ่งช่วยระบุความเสี่ยงของมะเร็งแต่ละชนิด
- CT Scan (Computed Tomography) ใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพรายละเอียดของอวัยวะภายใน
- MRI (Magnetic Resonance Imaging) ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพโครงสร้างภายในร่างกาย
- การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) นำตัวอย่างเซลล์ไปตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
ค่ามะเร็งในเลือดที่ควรรู้
ค่ามะเร็งในเลือดเป็นตัวบ่งชี้ที่ช่วยระบุโอกาสการเกิดมะเร็ง เช่น
- CEA (Carcinoembryonic Antigen) มักใช้ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งปอด
- AFP (Alpha-fetoprotein) ใช้ตรวจมะเร็งตับ
- PSA (Prostate-Specific Antigen) ใช้ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก
- CA-125 ใช้ตรวจมะเร็งรังไข่
- CA 19-9 ใช้ตรวจมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งทางเดินอาหาร
แนวทางการรักษามะเร็งในผู้สูงอายุ
การรักษามะเร็งในผู้สูงอายุจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกาย โรคร่วม และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย วิธีรักษาหลัก ได้แก่ การผ่าตัด คีโม ฉายรังสี และภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งแต่ละแนวทางมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป
วิธีการรักษามะเร็ง
การผ่าตัด (Surgery)
เป็นวิธีที่ใช้เมื่อตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดก้อนมะเร็งออกไปเพื่อลดการแพร่กระจาย
- ข้อดี
กำจัดเซลล์มะเร็งออกจากร่างกายโดยตรง
ใช้ได้ผลดีหากมะเร็งยังไม่แพร่กระจาย - ข้อเสีย
ต้องพักฟื้นนาน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อและภาวะเลือดออก
เคมีบำบัด (Chemotherapy – คีโม)
การใช้ยาเคมีฆ่าเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- ข้อดี
ใช้รักษามะเร็งที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว
สามารถใช้ร่วมกับวิธีรักษาอื่น ๆ - ข้อเสีย
มีผลข้างเคียงสูง เช่น คลื่นไส้ ผมร่วง อ่อนเพลีย และภูมิคุ้มกันต่ำ
อาจเป็นภาระต่อร่างกายผู้สูงอายุ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
การฉายรังสี (Radiation Therapy)
ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง โดยสามารถฉายเฉพาะจุดที่เป็นมะเร็ง
- ข้อดี
เหมาะสำหรับมะเร็งที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้
ผลข้างเคียงน้อยกว่าคีโม - ข้อเสีย
อาจทำให้เกิดผิวหนังแห้ง ลอก หรืออักเสบบริเวณที่ฉายรังสี
มีผลกระทบต่ออวัยวะข้างเคียง เช่น ลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดเซลล์มะเร็งเอง
- ข้อดี
ผลข้างเคียงน้อยกว่าคีโม
ใช้ได้ผลดีกับมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอดและมะเร็งผิวหนัง - ข้อเสีย
มีค่าใช้จ่ายสูง
ไม่สามารถใช้ได้กับมะเร็งทุกชนิด
ผลข้างเคียงที่ต้องระวังและการดูแลผู้ป่วย
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลจากการรักษา
แนวทางการดูแลผู้ป่วยหลังการรักษา
- ดูแลเรื่องโภชนาการ ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ลดน้ำตาล และเน้นผักผลไม้
- เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก
- ส่งเสริมสุขภาพจิต สนับสนุนด้านอารมณ์และจิตใจให้ผู้ป่วยมีกำลังใจต่อสู้กับโรค
- ติดตามผลการรักษา ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อดูว่ามีการกลับมาของมะเร็งหรือไม่
การดูแลและป้องกันโรคมะเร็งในผู้สูงอายุ
การป้องกันมะเร็งในผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันและความสามารถของร่างกายในการซ่อมแซมเซลล์ลดลง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ สารพิษในบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอดและมะเร็งอื่น ๆ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ ลำไส้ใหญ่ และเต้านม
- ควบคุมน้ำหนัก โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านม
- ลดความเครียด ความเครียดเรื้อรังอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพิ่มโอกาสเกิดมะเร็ง
อาหารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
การเลือกรับประทานอาหารที่ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
- ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น บร็อคโคลี กะหล่ำปลี แครอท เบอร์รี่ และมะเขือเทศ
- อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว และเมล็ดพืช ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้
- โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ปลา ถั่วเหลือง และไข่ แทนการบริโภคเนื้อแดงมากเกินไป
- ชาเขียวและขมิ้น มีสารต้านมะเร็งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและลำไส้
การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพจิต
การออกกำลังกาย
- ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ
- ช่วยลดฮอร์โมนที่กระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
การดูแลสุขภาพจิต
- ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ เล่นดนตรี หรือปลูกต้นไม้
- พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวเพื่อลดความเครียดและสร้างความสุข
วัคซีนป้องกันโรคที่เกี่ยวข้อง
- วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine) ลดความเสี่ยงของมะเร็งตับ
- วัคซีน HPV (Human Papillomavirus Vaccine) ลดความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกและอวัยวะสืบพันธุ์
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจกระตุ้นให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
คำแนะนำสำหรับครอบครัวและผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นมะเร็ง
เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นมะเร็ง ครอบครัว และผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม รวมถึงการวางแผนค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
วิธีดูแลผู้สูงอายุที่เป็นมะเร็งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
การดูแลร่างกาย
- ให้ผู้ป่วยได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เช่น อาหารที่ย่อยง่าย มีโปรตีนสูง และลดน้ำตาล
- ดูแลเรื่องยาและการรักษาให้ตรงตามแพทย์สั่ง
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเล่นหรือทำโยคะ เพื่อลดภาวะกล้ามเนื้อลีบ
- สังเกตอาการแทรกซ้อน เช่น อาการเจ็บปวด น้ำหนักลด หรืออาการข้างเคียงจากการรักษา
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- จัดที่พักอาศัยให้สะดวก ปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม
- มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น เตียงปรับระดับ หรือราวจับในห้องน้ำ
การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตใจ
ให้กำลังใจและรับฟัง
- ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง โดยการพูดคุยและรับฟังความต้องการของเขา
- สนับสนุนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เขาชอบ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง หรือปลูกต้นไม้
ช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
- หากผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้ ควรแนะนำให้พบที่ปรึกษาหรือกลุ่มสนับสนุน
- ครอบครัวควรแสดงความรักและสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น
ส่งเสริมสุขภาพจิตและความสงบทางใจ
- ฝึกสมาธิหรือโยคะเพื่อช่วยลดความเครียด
- หากเป็นไปได้ ควรมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน เช่น แมวหรือสุนัข ที่ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย
การวางแผนค่าใช้จ่ายและเลือกสถานพยาบาล
วางแผนค่าใช้จ่าย
- ควรศึกษาค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็ง ทั้งค่าตรวจ ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าดูแลระยะยาว
- มองหาประกันสุขภาพหรือสิทธิ์การรักษาที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย
- คำนึงถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น อาหารเฉพาะทางหรืออุปกรณ์ช่วยเหลือ
เลือกสถานพยาบาลที่เหมาะสม
- พิจารณาว่าผู้ป่วยต้องการรักษาแบบโรงพยาบาลเฉพาะทางหรือศูนย์ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
- หากอาการอยู่ในระยะสุดท้าย อาจต้องพิจารณาการดูแลแบบ Hospice Care ซึ่งเน้นการดูแลแบบประคับประคอง
หาข้อมูลเกี่ยวกับบริการดูแลที่บ้าน
- หากครอบครัวไม่สามารถดูแลเองได้ อาจใช้บริการพยาบาลดูแลที่บ้าน
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง เช่น สมาคมมะเร็งแห่งประเทศไทย
คลินิกและโรงพยาบาลที่มีบริการตรวจคัดกรองมะเร็ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับโรคมะเร็งในผู้สูงอายุ
ในกรุงเทพมหานคร มีสถานพยาบาลหลายแห่งที่ให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งที่ครอบคลุม รวมถึงการตรวจเลือด การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และการสแกน CT
โรงพยาบาลสมิติเวช ให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเครื่องมือวินิจฉัยขั้นสูงและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โรงพยาบาลกรุงเทพ มีศูนย์รักษามะเร็งเฉพาะทางที่ให้บริการการวินิจฉัยและการรักษาแบบครบวงจร
โรงพยาบาลบีเอ็นเอช นำเสนอแพ็กเกจการตรวจคัดกรองมะเร็งที่ออกแบบมาเพื่อตรวจพบมะเร็งหลายประเภทในระยะเริ่มต้น
โรงพยาบาลไทยนครินทร์ มีศูนย์มะเร็งโฮลิสติคที่ให้บริการตรวจคัดกรองและรักษามะเร็งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
องค์กรสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็ง
มีหลายองค์กรที่มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น
มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง เป็นศูนย์กลางในการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในประเทศไทย และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย
กลุ่มเครือข่ายเพื่อนมะเร็ง เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมะเร็งและบุคคลที่เกี่ยวข้องแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้สึก เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการสนับสนุน
โครงการสนับสนุนจากองค์กรเอกชน เช่น Thrive Thailand และ Roche Thailand ที่มีโปรเจคมุ่งหวังสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งผ่านการให้คำปรึกษาและโปรแกรมตรวจสุขภาพ
ช่องทางติดต่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
หากต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งสามารถติดต่อ
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งและคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โรงพยาบาลที่มีศูนย์มะเร็งเฉพาะทาง เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลกรุงเทพ
- สอบถาม บริษัท นีด เนิร์ส กรุ๊ป จำกัด โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NEEDNURSE
มะเร็งระยะที่ 1-4 มีโอกาสรักษาหายไหม?
- มะเร็งระยะที่ 1-2 มีโอกาสรักษาหายสูงหากได้รับการรักษาเร็วและเหมาะสม เช่น การผ่าตัด ฉายแสง หรือเคมีบำบัด
- มะเร็งระยะที่ 3 โอกาสรักษาหายลดลง แต่ยังสามารถควบคุมโรคได้โดยใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน
- มะเร็งระยะที่ 4 เป็นระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ทำให้โอกาสรักษาหายลดลงมาก การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมโรคและบรรเทาอาการ
มะเร็งลามไปกระดูกอยู่ได้นานแค่ไหน?
- มะเร็งที่แพร่กระจายไปกระดูกมักเป็นระยะท้าย โดยอายุขัยของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็งและการตอบสนองต่อการรักษา
- หากได้รับการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ยาแก้ปวด ยาควบคุมการลุกลาม และการฉายรังสี อายุขัยอาจยืดออกไปได้เป็นเดือนหรือหลายปี
- มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งต่อมลูกหมากที่แพร่กระจายไปกระดูก อาจยังสามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาต่อเนื่อง
ค่าเลือดปกติที่บ่งบอกถึงภาวะมะเร็งคือเท่าไหร่?
- ค่ามะเร็งในเลือด (Tumor Markers) ที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ ได้แก่
- CEA (Carcinoembryonic Antigen) ค่าปกติ < 5 ng/mL (ใช้ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่)
- AFP (Alpha-fetoprotein) ค่าปกติ < 10 ng/mL (ใช้ตรวจมะเร็งตับ)
- PSA (Prostate-Specific Antigen) ค่าปกติ < 4 ng/mL (ใช้ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก)
- CA 125 ค่าปกติ < 35 U/mL (ใช้ตรวจมะเร็งรังไข่)
- CA 19-9 ค่าปกติ < 37 U/mL (ใช้ตรวจมะเร็งตับอ่อน)
- อย่างไรก็ตาม ค่ามะเร็งในเลือดไม่สามารถใช้ยืนยันการวินิจฉัยได้ 100% ควรตรวจเพิ่มเติม เช่น CT Scan หรือ MRI
ผู้สูงอายุที่ป่วยควรได้รับการดูแลแบบไหนเป็นพิเศษ?
- โภชนาการ ควรได้รับอาหารที่มีโปรตีนสูง ย่อยง่าย ลดน้ำตาลและไขมันไม่ดี
- การเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย แม้จะป่วย ควรพยายามเคลื่อนไหว เช่น การเดินเบา ๆ หรือกายภาพบำบัด
- การดูแลสุขภาพจิต ผู้สูงอายุมักมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ควรได้รับการดูแลด้านอารมณ์ เช่น ให้มีกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
- การติดตามอาการ ต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น อาการคลื่นไส้จากเคมีบำบัด หรือภาวะกระดูกพรุนจากฮอร์โมนบำบัด
- การเตรียมแผนดูแลระยะท้าย หากโรคอยู่ในระยะสุดท้าย ควรเตรียมแผนดูแลแบบ Hospice Care เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด