เข้าใจโรคในผู้สูงอายุ ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันได้

     เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราก็เหมือนเครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมายาวนาน ย่อมมีการเสื่อมสภาพและปัญหาสุขภาพตามมา การเข้าใจและตระหนักถึง “โรคในผู้สูงอายุ” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราป้องกันและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

จากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ พบว่า เมื่ออายุเข้าสู่วัย 50 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้มีโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย

สารบัญโรคในผู้สูงอายุ

12 โรคใกล้ตัวคนสูงวัย สัญญาณเตือนและวิธีป้องกัน

     ผู้สูงอายุ คือ สมบัติล้ำค่าของครอบครัวและสังคม การดูแลสุขภาพของพวกเขาไม่เพียงแค่ช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาว แต่ยังช่วยให้ชีวิตเต็มไปด้วยคุณภาพและความสุข การรู้จัก “สัญญาณเตือน” ของโรคต่าง ๆ และเรียนรู้ “วิธีป้องกัน” ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค แต่ยังทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ

นีด เนิร์ส กรุ๊ป จะพาคุณไปรู้จัก 12 สัญญาณเตือนของโรคที่มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ พร้อมเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวดูแลคนที่คุณรักได้อย่างใกล้ชิดและมั่นใจว่า “สุขภาพดีไม่มีโรคภัย” ไม่ใช่แค่ความฝัน!

ความดันโลหิตในผู้สูงอายุที่พบได้บ่อยจะเป็นภาวะที่แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

สัญญาณเตือนของโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองมีภาวะนี้ อย่างไรก็ตาม หากความดันโลหิตสูงมากหรือเป็นเวลานานอาจมีอาการดังนี้

  • ปวดศีรษะ โดยเฉพาะในตอนเช้าหรือหลังตื่นนอน
  • เวียนศีรษะ รู้สึกหน้ามืดหรือเวียนหัว
  • มองเห็นไม่ชัด สายตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วหรือไม่เป็นจังหวะ
  • หายใจลำบาก รู้สึกหายใจไม่อิ่มหรือเหนื่อยง่าย

หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวัดความดันโลหิตและรับคำแนะนำที่เหมาะสม

วิธีป้องกันโรคความดันโลหิตสูง

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด และเพิ่มการบริโภคผักผลไม้สด
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด เช่น เดินเร็ว วิ่ง หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  3. ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจ
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
  5. จัดการความเครียด หาวิธีผ่อนคลายจิตใจ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลดความเครียด
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติ เนื่องจากการผลิตหรือการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ

สัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน

  • ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก เนื่องจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
  • กระหายน้ำมาก เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย ทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากขึ้น
  • หิวบ่อยและกินมากขึ้น แม้จะรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ยังรู้สึกหิว เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างเพียงพอ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้จะกินมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลง เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงาน
  • อ่อนเพลียและไม่มีแรง เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับพลังงานเพียงพอ ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย
  • สายตาพร่ามัว ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจทำให้เลนส์ตาบวม ส่งผลให้มองเห็นไม่ชัด
  • แผลหายช้า แผลหรือรอยถลอกหายช้ากว่าปกติ เนื่องจากการไหลเวียนเลือดไม่ดีและภูมิคุ้มกันลดลง
  • ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่ปลายมือปลายเท้า เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญพลังงานและควบคุมน้ำหนัก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
  3. ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ
  5. ตรวจสุขภาพประจำปี หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพทั่วไป เพื่อการตรวจพบและรักษาโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก
  6. จัดการความเครียด หาวิธีผ่อนคลายจิตใจ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลดความเครียดที่อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย การรู้จักสัญญาณเตือนและวิธีป้องกันสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้

สัญญาณเตือนของโรคหัวใจ

  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก รู้สึกเจ็บหรือแน่นบริเวณกลางอก อาจร้าวไปที่กราม แขน หรือไหล่
  • หายใจลำบาก รู้สึกหายใจไม่อิ่มหรือหายใจถี่ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหนักหรือในขณะที่นอนราบ
  • เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียหรือหมดแรง แม้จะทำกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกใจสั่นหรือหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
  • บวมที่ขาหรือเท้า มีอาการบวมที่ขา เท้า หรือข้อเท้า ซึ่งอาจเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีป้องกันโรคหัวใจ

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด เช่น เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ ลดการบริโภคเกลือ และเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหาร
  3. ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจ
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
  5. จัดการความเครียด หาวิธีผ่อนคลายจิตใจ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลดความเครียด
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทั่วไป รวมถึงการตรวจสุขภาพหัวใจ ระดับไขมันในเลือด และโรคเบาหวาน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงและวางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

เกิดจากการที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ตามปกติ ส่งผลให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิตได้

สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง

การจำสัญญาณเตือนสามารถใช้หลักการ “B.E.F.A.S.T.” เพื่อสังเกตอาการเบื้องต้น

  • B (Balance) สูญเสียการทรงตัว เดินเซ หรือเวียนศีรษะอย่างฉับพลัน
  • E (Eyes) การมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นข้างใดข้างหนึ่ง
  • F (Face) ใบหน้าหรือปากเบี้ยว มุมปากตก
  • A (Arms) แขนหรือขาอ่อนแรง โดยเฉพาะข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
  • S (Speech) พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือไม่สามารถพูดได้
  • T (Time) หากพบอาการข้างต้น ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที

วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

  1. ควบคุมความดันโลหิต หมั่นตรวจวัดความดันโลหิตและรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ ลดการบริโภคเกลือ และเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหาร
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด เช่น เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  5. ควบคุมโรคประจำตัว หากมีโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  6. จัดการความเครียด หาวิธีผ่อนคลายจิตใจ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลดความเครียด

เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าค่อย ๆ สึกหรอ ทำให้เกิดอาการปวดและเคลื่อนไหวลำบาก

สัญญาณเตือนของโรคข้อเข่าเสื่อม

  • ปวดเข่า รู้สึกปวดบริเวณข้อเข่า โดยเฉพาะเมื่อเดินนาน ๆ ขึ้น-ลงบันได หรือนั่งงอเข่าในท่าพับเพียบหรือขัดสมาธิเป็นเวลานาน
  • ข้อเข่าติดแข็ง รู้สึกฝืดหรือเคลื่อนไหวข้อเข่าได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน
  • เสียงกรอบแกรบในเข่า ได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือรู้สึกถึงการเสียดสีในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว เช่น เวลางอหรือเหยียดเข่า
  • ข้อเข่าบวมและอักเสบ มีอาการบวมบริเวณข้อเข่า อาจมีอาการร้อนหรือรู้สึกเจ็บเวลาสัมผัส
  • ข้อเข่าผิดรูป ในกรณีที่อาการรุนแรง ข้อเข่าอาจมีลักษณะผิดรูป เช่น ขาโก่งหรือข้อเข่าเบี้ยว

วิธีป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม

  1. ควบคุมน้ำหนัก รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดแรงกดทับบนข้อเข่า
  2. ออกกำลังกายที่เหมาะสม เลือกการออกกำลังกายที่ไม่เพิ่มแรงกระแทกต่อข้อเข่า เช่น การเดินในน้ำ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะเบา ๆ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง
  3. หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าหนักเกินไป หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบเป็นเวลานาน
  4. บริหารกล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อรอบเข่า ทำการบริหารกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดภาระของข้อเข่า
  5. ใช้อุปกรณ์เสริม สวมสนับเข่าหรือรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกดทับและป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่า
  6. พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าหนักมากเกินไป และให้ข้อเข่าได้พักผ่อนอย่างเหมาะสม

6. โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

เป็นภาวะที่กระดูกของเราบางลงและเปราะมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย แม้จะเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม

สัญญาณเตือนของโรคกระดูกพรุน

  • ปวดหลังเรื้อรัง อาการปวดหลังที่เกิดจากกระดูกสันหลังยุบตัวหรือแตกหัก
  • ส่วนสูงลดลง สังเกตว่าตัวเตี้ยลงเนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัว
  • ท่าทางเปลี่ยนแปลง หลังค่อมหรือโค้งงอมากขึ้น
  • กระดูกหักง่าย กระดูกหักจากการกระแทกหรืออุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น การล้มเบา ๆ

วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

  1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และปลาเล็กปลาน้อย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่มีการรับน้ำหนัก เช่น การเดิน วิ่ง หรือยกน้ำหนัก ช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูก
  3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมเหล่านี้สามารถลดความหนาแน่นของกระดูกและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
  4. รับแสงแดดอย่างเหมาะสม แสงแดดช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียม
  5. ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ควรตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเพื่อประเมินความเสี่ยง
  6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อกระดูก เช่น ยาสเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเหล่านี้
  7. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักที่น้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน

7. โรคต้อกระจก (Cataract)

เป็นภาวะที่เลนส์ตา ซึ่งปกติควรใส กลับขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน

สัญญาณเตือนของโรคต้อกระจก

  • มองเห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหมือนมีหมอกหรือฝ้าบังสายตา ทำให้การมองเห็นไม่คมชัด
  • เห็นแสงกระจายหรือแสงจ้า เมื่อมองแสงไฟในตอนกลางคืน อาจเห็นแสงกระจายหรือรู้สึกแสบตาเมื่อเจอแสงจ้า
  • เห็นภาพซ้อน บางครั้งอาจมองเห็นภาพซ้อนหรือเงาซ้อนกัน
  • เปลี่ยนแปลงค่าสายตาบ่อย ต้องเปลี่ยนแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์บ่อยครั้ง เนื่องจากค่าสายตาเปลี่ยนแปลง

วิธีป้องกันโรคต้อกระจก

  1. สวมแว่นกันแดด ปกป้องดวงตาจากรังสี UV โดยการสวมแว่นกันแดดเมื่อออกแดด
  2. ควบคุมโรคประจำตัว หากมีโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก
  3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้ เพื่อบำรุงสุขภาพตา
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาที่มีสเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  5. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง
  6. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก

8. โรคต้อหิน (Glaucoma)

โรคต้อหิน (Glaucoma)

เป็นภาวะที่ความดันภายในลูกตาสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้

สัญญาณเตือนของโรคต้อหิน

  • การมองเห็นลดลง เริ่มจากการสูญเสียการมองเห็นด้านข้าง (Peripheral vision) ทำให้มองเห็นเฉพาะตรงกลางเท่านั้น
  • เห็นแสงรอบดวงไฟ มองเห็นแสงเป็นวงรอบดวงไฟ โดยเฉพาะในที่มืด
  • ปวดตาหรือปวดศีรษะ อาการปวดตาหรือปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • ตาแดง ตาแดงร่วมกับอาการปวดตา
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน ในกรณีที่ความดันตาสูงมาก อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

วิธีป้องกันโรคต้อหิน

  1. ตรวจตาเป็นประจำ ควรตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน
  2. ควบคุมโรคประจำตัว โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้ การควบคุมโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อความดันตา ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ อาจเพิ่มความดันตา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเหล่านี้
  4. ป้องกันดวงตาจากการบาดเจ็บ สวมแว่นตานิรภัยเมื่อทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บดวงตา
  5. รักษาสุขภาพทั่วไป การออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อหิน

9. โรคสมองเสื่อม (Dementia)

โรคสมองเสื่อม (Dementia)

สัญญาณเตือนของโรคสมองเสื่อม

  • ความจำถดถอย ลืมเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เช่น ลืมชื่อคนใกล้ตัว หรือจำไม่ได้ว่าทำอะไรไปบ้าง
  • สับสนกับเวลาและสถานที่ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร หรือหลงทางในที่ที่คุ้นเคย
  • ความสามารถในการตัดสินใจลดลง เช่น ใช้เงินผิดปกติ หรือเลือกตัดสินใจในเรื่องสำคัญไม่ได้
  • ทักษะการสื่อสารถดถอย ลืมคำศัพท์หรือใช้คำผิดบ่อยครั้ง
  • พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล หรือซึมเศร้าโดยไม่มีเหตุผล
  • การทำกิจวัตรประจำวันลำบากขึ้น เช่น ลืมขั้นตอนในการแต่งตัว ทำอาหาร หรือขับรถ

วิธีป้องกันโรคสมองเสื่อม

  1. กระตุ้นสมองด้วยการเรียนรู้ใหม่ ๆ การเล่นเกมฝึกสมอง การเรียนภาษาใหม่ หรือการแก้ปริศนา ช่วยลดความเสี่ยงของ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ลดความเสี่ยงของ โรคพาร์กินสัน และช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง
  3. ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ควบคุมน้ำหนัก และลดความดันโลหิต เพื่อป้องกัน โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสมองเสื่อม
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เช่น ปลาแซลมอน ถั่ว อะโวคาโด และผักใบเขียว ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 และวิตามินบี
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยล้างสารพิษในสมอง และลดความเสี่ยงของการเกิด โรคอัลไซเมอร์
  6. จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อการทำงานของสมอง ฝึกสมาธิหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายช่วยลดความเสี่ยงได้
  7. พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพสมอง หากเริ่มมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยและรักษา โรคสมองเสื่อม ในระยะเริ่มต้น

10. โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Depression in the Elderly)

สัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

  • ความรู้สึกเศร้าหรือหมดหวังที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง
  • ขาดความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก
  • นอนไม่หลับหรือหลับมากผิดปกติ
  • การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักหรือความอยากอาหาร (ลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก)
  • ความยากลำบากในการจดจ่อ ความจำเสื่อม หรือการตัดสินใจ
  • ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า หรือรู้สึกผิดโดยไม่มีเหตุผล

วิธีป้องกันโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

  1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว การสนับสนุนและการพูดคุยในครอบครัวช่วยลดความเหงาและเพิ่มกำลังใจให้กับผู้สูงอายุ
  2. รักษากิจกรรมในชีวิตประจำวัน สนับสนุนให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือออกกำลังกายเบา ๆ
  3. มีส่วนร่วมในสังคม การเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ หรือการพบปะเพื่อนฝูงช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมีคุณค่า
  4. ดูแลสุขภาพกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อป้องกันโรคที่อาจมีผลต่อจิตใจ
  5. จัดการความเครียด สอนหรือส่งเสริมการฝึกสมาธิ โยคะ หรือเทคนิคผ่อนคลายเพื่อช่วยลดความวิตกกังวล
  6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อมีความเสี่ยง หากพบสัญญาณเตือน ควรพาผู้สูงอายุปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

11. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)

สัญญาณเตือนของโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง

  • หายใจลำบาก โดยเฉพาะในขณะออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง
  • มีอาการไอเรื้อรัง มักมีเสมหะร่วมด้วย
  • หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) หรือแน่นหน้าอก
  • เหนื่อยง่าย แม้ในกิจกรรมเบา ๆ
  • มีอาการกำเริบ (Exacerbation) เช่น ไอและหายใจลำบากรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

วิธีป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง

  1. ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง การหยุดสูบบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ
  2. หลีกเลี่ยงสารก่อระคายเคือง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับควัน บุหรี่ ฝุ่น และสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อปอด
  3. ดูแลสุขภาพปอด รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และปอดบวมเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ส่งผลต่อปอด
  4. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินหรือโยคะ ช่วยเสริมสร้างระบบหายใจและความแข็งแรงของปอด
  5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีและอี
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีประวัติการสูบบุหรี่หรือมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

ชนิดของมะเร็งที่พบบ่อย

  • มะเร็งปอด พบมากในผู้สูบบุหรี่
  • มะเร็งตับ มักเกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบและแอลกอฮอล์
  • มะเร็งเต้านม พบมากในผู้หญิง โดยเฉพาะอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากพฤติกรรมการกินและพันธุกรรม
  • มะเร็งปากมดลูก มักเกิดจากการติดเชื้อ HPV

สัญญาณเตือนของโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง

  • มีก้อนเนื้อผิดปกติในร่างกาย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ไอเรื้อรังหรือถ่ายเป็นเลือด
  • แผลเรื้อรังที่ไม่หาp

วิธีป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง

  1. หยุดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  2. กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  4. หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง ไขมันสูง และอาหารแปรรูป
  5. ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง

อายุมาก สุขภาพดีได้ ถ้ารู้จักดูแลตัวเอง

     อายุมากขึ้นไม่ใช่ข้อจำกัดในการมีสุขภาพดี หากเราใส่ใจดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพประจำปี สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ นอกจากนี้การจัดการความเครียดและการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและสังคม ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตใจให้แข็งแรง ชีวิตวัยเก๋าจึงมีคุณภาพและความสุขได้ เพียงเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ได้ที่ NeedNurseGroup โทร. 081-924-2635 / 082-791-6559 หรือ LINE. @NeedNurse

Nicha
เมื่อคนที่คุณรักต้องการการดูแลที่ดีที่สุด แต่คุณเองก็ต้องการความสบายใจ Need ผู้ดูแล ... นึกถึง Need Nurse เพราะเราคือคำตอบของความอุ่นใจและการดูแลที่คุณวางใจได้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า